จาการ์ตา, อินโดนีเซีย, 4 ธันวาคม 2567 /PRNewswire/ -- Archipelago ได้รับการประกาศในพิธีซึ่งจัดขึ้นที่เมืองเมดินา ให้เป็นหนึ่งในห้าเครือโรงแรมระดับโลกที่ได้รับเลือกให้บริหารและดำเนินงานโรงแรมและที่พักบริการใน Islamic World District (IWD) โครงการพัฒนาแบบผสมผสานขนาด 6.8 ล้านตารางเมตรในนครศักดิ์สิทธิ์แห่งเมดินาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Knowledge Economic City (KEC) ในฐานะผู้พัฒนาชั้นนำในซาอุดีอาระเบีย KEC กำลังส่งมอบห้องพักกว่า 18,000 ห้องในโครงการนี้เพื่อส่งเสริมบทบาทของเมดินาในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการท่องเที่ยว เพิ่มขีดความสามารถและยกระดับประสบการณ์ของเหล่าผู้แสวงบุญ ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบียปี 2573
Above: Signing Between Archipelago and Knowledge Economic City in Madinah
Aston Hotel & Residences KEC จะประกอบด้วยห้องพักโรงแรม 519 ห้อง และอะพาร์ตเมนต์บริการ 130 ยูนิต ภายในเขต IWD ของ KEC โดยมีกำหนดเปิดให้บริการในปี 2570 พื้นที่นี้ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟความเร็วสูง Haramain ซึ่งเชื่อมต่อเมดินากับเมกกะและเจดดาห์ โดยมีเป้าหมายเพื่อมอบบริการแบบครบวงจรสำหรับผู้แสวงบุญและผู้มาเยือนจากหลากหลายวัฒนธรรมในโลกอิสลาม พร้อมสะท้อนวัฒนธรรมเหล่านี้ผ่านสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ เช่น โรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งบันเทิง คลินิกทางการแพทย์ และบริการสนับสนุนอื่น ๆ
Archipelago เป็นผู้ดำเนินการโรงแรมเอกชนรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นภูมิภาคสำคัญสำหรับการเดินทางของเหล่าผู้แสวงบุญ และได้รับการยอมรับว่าเป็นภูมิภาคที่เติบโตอย่างรวดเร็วด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ โดยแบรนด์ Aston ของบริษัทเป็นแบรนด์โรงแรมชั้นนำในอินโดนีเซียซึ่งมีประวัติยาวนานกว่า 27 ปีในตลาด
Gerard Byrne กรรมการผู้จัดการของ Archipelago กล่าวว่า "การที่อินโดนีเซียเป็นแหล่งตลาดการท่องเที่ยวที่สำคัญสำหรับเมืองเมดินา เมกกะ ซาอุดีอาระเบีย และภูมิภาคอ่าวอาหรับในวงกว้างนั้นไม่ใช่การกล่าวเกินจริงแต่อย่างใด ด้วยประชากรของอินโดนีเซียกว่า 50% ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี การเติบโตของชนชั้นกลาง การพัฒนาการขนส่งทางอากาศอย่างต่อเนื่อง และอิทธิพลของโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น ทำให้อินโดนีเซียมีศักยภาพในการเติบโตด้านการท่องเที่ยวระหว่างประเทศและการเดินทางของผู้แสวงบุญมากที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศมุสลิมอื่น ๆ เมืองเมดินานั้นมีความสำคัญสำหรับชาวมุสลิมทุกคน นั่นหมายความว่าความสำคัญทางศาสนาและประวัติศาสตร์ของเมดินาจะมอบศักยภาพที่ไม่สิ้นสุดในแง่ของการท่องเที่ยวเพื่อการตามรอยมรดก การแพทย์ การแสวงหาความรู้ และศาสนา การประกาศในครั้งนี้จะสร้างความตื่นเต้นอย่างมากในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของอินโดนีเซีย ขณะที่สมาชิกและลูกค้าชาวอินโดนีเซียจำนวนหลายล้านคนของเราตั้งตารอที่จะได้เดินทางไปเยือนโรงแรม Aston ในเมดินา"
John Flood ประธานและซีอีโอของ Archipelago กล่าวเพิ่มเติมว่า "เรารู้สึกเป็นเกียรติและภูมิใจที่ได้ร่วมมือกับ KEC ในการนำ Aston Hotels มาสู่ IWD ผ่านการเปิดตัวครั้งแรกในเมืองเมดินา KEC เป็นโครงการสำคัญในการกระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจของเมดินา และการสร้างจุดหมายปลายทางที่มอบประสบการณ์แบบครบครันสำหรับนักท่องเที่ยว พร้อมเฉลิมฉลองมรดก วัฒนธรรม และอัตลักษณ์ทางศาสนาแห่งนครศักดิ์สิทธิ์ เราตั้งตารอที่จะได้ร่วมงานกับ KEC ในโครงการสำคัญนี้และสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศ"
"เรารู้สึกตื่นเต้นที่ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ร่วมกับ Archipelago ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับ KEC ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความเป็นเลิศ นวัตกรรม และการมอบประสบการณ์สุดพิเศษให้แก่ผู้มาเยือน" Amin Shaker ประธาน KEC กล่าว "ด้วยการสนับสนุนอันยอดเยี่ยมและต่อเนื่องจากเจ้าชาย Salman bin Sultan ความสัมพันธ์นี้ร่วมกับ Archipelago จะช่วยให้เรากำหนดมาตรฐานการบริการใหม่ในเมดินา และมีส่วนช่วยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาของราชอาณาจักรตามวิสัยทัศน์ปี 2573"
Mohammad Al Mubarak ซีอีโอของ KEC กล่าวเพิ่มเติมว่า "เรารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่จะได้ร่วมมือกับ Archipelago ในการนำโรงแรมแบรนด์ Aston แห่งใหม่อย่าง Aston Hotel & Residences KEC มาสู่เมืองนี้ การเปิดตัวที่พักครั้งนี้ถือเป็นก้าวสำคัญในภารกิจของเราในการส่งเสริมการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยีและความรู้ในเมดินา และการมอบประสบการณ์บริการที่ไม่ใครเทียบได้ให้แก่ผู้พักอาศัยและผู้มาเยือนจากทุกภาคส่วน"
เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ Archipelago ได้ที่ www.archipelagohotels.com
เรียนรู้ข้อมูลเกี่ยวกับ Knowledge Economic City ได้ที่ www.madinahkec.com
-สิ้นสุดข่าว-
เกี่ยวกับ Archipelago
Archipelago เป็นกลุ่มบริหารโรงแรมเอกชนรายใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีห้องพักมากกว่า 55,000 ห้องที่ดำเนินการอยู่และกำลังอยู่ในระหว่างการพัฒนาในกว่า 200 สถานที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โอเชียเนีย ตะวันออกกลาง แอฟริกา แคริบเบียนและลาตินอเมริกา Archipelago ยังมีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ระยะยาวร่วมกับ Maison Privee ในภูมิภาคอ่าวอาหรับ ซึ่งเป็นบริษัทบริหารการเช่าพักตากอากาศชั้นนำในภูมิภาคนี้ นอกจากนี้ Archipelago ยังเตรียมเปิดโรงแรมสองแห่งแรกในเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบียในปี 2569 บริษัทให้บริการโซลูชันการต้อนรับและเทคโนโลยีขั้นสูงสำหรับโรงแรม รีสอร์ต และที่พักแบรนด์ต่าง ๆ ผ่าน 13 แบรนด์ของบริษัทที่ได้รับรางวัลมากมาย ได้แก่ Aston, Aston Collection, Huxley, Avanika, Four Corners, The Alana, favehotel, Harper, Quest Hotels, Hotel Neo, Kamuela, Nordic และ Powered by Archipelago แบรนด์เหล่านี้มีตำแหน่งในตลาดที่แตกต่างกัน ตั้งแต่โรงแรมราคาประหยัดไปจนถึงโรงแรม รีสอร์ต และแบรนด์ที่พักระดับสูง ความสำเร็จและการขยายตัวของบริษัทในอุตสาหกรรมโรงแรมเกิดจากการมุ่งเน้นที่เทคโนโลยีและระบบ ความยืดหยุ่นและความคล่องตัวในฐานะบริษัทอิสระ และความหลากหลายของแบรนด์โรงแรม
เกี่ยวกับ Knowledge Economic City
Knowledge Economic City (KEC) เป็นหนึ่งในเมืองเศรษฐกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเพื่อเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศโดยการมอบโอกาสในการลงทุนที่โดดเด่น เมืองนี้มีเป้าหมายในการส่งเสริมการพัฒนาเขตธุรกิจที่ทันสมัยและช่วยยกระดับราชอาณาจักรให้เป็นหนึ่งในเศรษฐกิจชั้นนำของโลก นอกจากนี้ KEC ยังจดทะเบียนเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ซาอุดีอาระเบีย (Tadawul)
KEC ตั้งอยู่ในทำเลยุทธศาสตร์ภายในเขตเมืองของเมดินา ห่างจากมัสยิดนบีเพียง 5 กิโลเมตร และเชื่อมต่อกับเครือข่ายการขนส่งหลักต่าง ๆ รวมถึงถนน King Abdulaziz สถานีรถไฟความเร็วสูง Haramain และสนามบินนานาชาติ Prince Mohammed Bin Abdulaziz เมืองนี้ถูกออกแบบให้เป็นการพัฒนาเมืองอัจฉริยะที่เน้นความยั่งยืน โดยมีพื้นที่สีเขียว โครงสร้างพื้นฐานที่ทันสมัย และสิ่งอำนวยความสะดวกทางการศึกษาและการดูแลสุขภาพระดับสูง
KEC มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย 2573 โดยสอดรับกับโครงการต่าง ๆ เช่นโครงการ Pilgrim Experience Program, Quality of Life, Housing และ Human Capability Development เมืองแห่งนี้นำเสนอสไตล์การใช้ชีวิตในเมืองที่ครบวงจร ผสมผสานการใช้ชีวิตคุณภาพสูงเข้ากับโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ ข้อเสนอของเมืองประกอบด้วยการพัฒนาที่อยู่อาศัย การพัฒนาเชิงพาณิชย์ การดูแลสุขภาพ และการศึกษาที่หลากหลาย ซึ่งตอบสนองความต้องการของชุมชนและสะท้อนถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจที่รวดเร็วของราชอาณาจักร
ด้วยวิสัยทัศน์ที่จะเป็นประตูสู่อนาคตของเมืองเมดินา Knowledge Economic City มุ่งมั่นที่จะนำเสนอสไตล์การใช้ชีวิตที่เป็นเอกลักษณ์สำหรับผู้อยู่อาศัยและผู้มาเยือน มอบผลตอบแทนที่ยั่งยืนสำหรับผู้ถือหุ้น และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและแนวทางที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกด้านของการพัฒนาและการดำเนินงาน
เกี่ยวกับ Islamic World District
Islamic World District (IWD) เป็นโครงการสำคัญที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ Knowledge Economic City ใกล้กับสถานีรถไฟความเร็วสูง Haramain ในเมืองเมดินา โครงการนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1 ล้านตารางเมตร ถูกออกแบบให้สอดคล้องกับสองโครงการหลักในวิสัยทัศน์ซาอุดีอาระเบีย 2573 ได้แก่ โครงการ Pilgrim Experience Program และ Quality of Life Program
IWD มุ่งสนับสนุนโครงการ Pilgrim Experience Program โดยการยกระดับประสบการณ์ของผู้แสวงบุญ ผู้มาเยือนอุมเราะห์ และนักท่องเที่ยวผ่านการบริการและการต้อนรับที่มีคุณภาพ การเข้าถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สะดวกสบาย และการเสริมสร้างภารกิจทางศาสนาและวัฒนธรรมของพวกเขา นอกจากนี้ยังสนับสนุนโครงการ Quality of Life Program โดยการนำเสนอศูนย์กลางเมืองที่มีชีวิตชีวา สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อความบันเทิงสำหรับครอบครัว การแสดงสด โรงละคร นิทรรศการ และเทศกาลต่าง ๆ
วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ครอบคลุมการพัฒนาที่พักอาศัยถาวร สิ่งอำนวยความสะดวกด้านการบริการและการต้อนรับ และบริการสนับสนุนครบวงจร เช่น ศูนย์ต้อนรับผู้เยี่ยมชม จัตุรัสวัฒนธรรมและสังคม ร้านค้าปลีกหลากหลาย คลินิก ทางเดินเท้า พื้นที่สีเขียว พื้นที่จัดกิจกรรม และพิพิธภัณฑ์ Seerah แบบอินเตอร์แอคทีฟ การออกแบบสถาปัตยกรรมในเขตนี้ได้แรงบันดาลใจจากมรดกแห่งโลกอิสลาม โดยจำลองสไตล์จากประเทศมุสลิมต่าง ๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ทางวัฒนธรรมและความงามที่เป็นเอกลักษณ์
เมื่อโครงการเสร็จสมบูรณ์ IWD จะมีห้องพักโรงแรมประมาณ 18,000 ห้อง ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาการขาดแคลนที่พักในเมดินา และตอบสนองเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ของโครงการ Pilgrim Experience Program โครงการนี้ยังจะช่วยสนับสนุนเป้าหมายอันทะเยอทะยานของราชอาณาจักรในการเพิ่มจำนวนผู้แสวงบุญ ผู้มาเยือนอุมเราะห์ และนักท่องเที่ยวให้ถึง 30 ล้านคนต่อปี พื้นที่แห่งนี้จะเชื่อมโยงถึงกันด้วยระบบขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และพร้อมที่จะกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญที่ผสานรวมประสบการณ์ทางศาสนา วัฒนธรรม และการพักผ่อนในเมดินาเข้าด้วยกัน
แสดงความเห็น